โรคเริม คืออะไรกันแน่ ? สังเหตุอาการเพื่อป้องกันและรักษา
โรคเริม (Herpes) คือโรคติดเชื้อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีโอกาสเป็นกันได้เกือบทุกคน เริมเกิดจากการที่ผู้ป่วยไปสัมผัสกับเชื้อไวรัส เฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ ซึ่งจะติดต่อได้ผ่านทางสารคัดหลั่ง ทางผิวหนัง และทางเพศสัมพันธ์ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำแก้วเดียวกัน การทาลิปสติกแท่งเดียวกัน การออรัลเซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ฯลฯ
ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณปาก และอวัยวะเพศ เป็นหลัก แต่บริเวณอื่นที่ได้สัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ ก็มีโอกาสเกิดเป็นเริมได้เช่นเดียวกัน โดยอาการเริ่มต้นของเริม คือ ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคันยุบๆยิบๆ ต่อมาจะมีตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณที่คัน หลังจากนั้นก็จะเป็นแผลพุพองขึ้นรอบๆตุ่มน้ำคัน ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อจะปวดแสบปวดร้อนมาก สำหรับผู้ป่วยที่อาการหนักมากๆ ก็อาจจะมีไข้สูงตามมาด้วย
แต่กับผู้ป่วยบางรายนั้น ไม่แสดงอาการใดๆเลยก็มี โรคชนิดนี้เป็นโรคติดเชื้อที่รักษาให้หายได้ แต่ก็จะไม่หายขาด คนที่เคยเป็นโรคเริมแล้ว จะสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง
สารบัญของบทความนี้
โรคเริม แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด
ในทางการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน ได้ทำการแบ่ง โรคเริม ตามลักษณะของการติดเชื้อในแต่ละส่วนของร่างกาย ออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
- Herpes Simplex Virus type 1 ( HSV-1 ) : จะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า ปาก โพรงจมูก และบริเวณผิวหนังเหนือสะดือ โดยสาเหตุของการติดเชื้อบริเวณดังกล่าวนี้ มาจากการได้สัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำลาย น้ำมูก น้ำตา เหงื่อ ฯลฯ ซึ่งผู้ติดเชื้อจะมีอาการคัน จากนั้นก็จะเกิดตุ่มน้ำใสพองขึ้นมาพร้อมๆกับผื่นแดงและมีอาการบวม จนเกิดแผลพุพอง ซึ่งจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณแผลไม่น้อยเลยทีเดียว
- Herpes Simplex Virus type 2 ( HSV-2 ) : จะเกิดขึ้นบริเวณ อวัยวะเพศหญิง หรือ อวัยวะเพศชาย เป็นหลัก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV ชนิดที่ 2 นี้ โดยผู้ติดเชื้อจะมีอาการคันยุบๆยิบๆ ระคายเคืองจนเกิดเป็นผื่นแดง ตามด้วยอาการปวดจากการอักเสบของแผลพุพอง ซึ่งเป็นระยะที่เจ็บปวดที่สุดของโรคเริมที่อวัยวะเพศในเวลาต่อมา
สาเหตุของการเป็นเริม
ปัจจัยหลักๆที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดการเป็นเริมที่เราควรจะรู้มีดังต่อไปนี้
- การใช้สิ่งของหรือภาชนะร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อ
- การได้สัมผัสกับบริเวณผิวหนังไกล้ๆกับริมฝีปากของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น การหอมแก้ม หรือการจูบ
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
- การทำ ออรัล เซ็กส์ กันกับผู้ที่ติดเชื้อ
- การติดเชื้อจากคุณแม่ที่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์สู่ลูกผ่านการคลอด
- การมีสัมผัสสวาทแบบแนบเนื้อชิดตัวกับผู้ที่ติดเชื้อ
- การติดเชื้อจากการให้นมทารกของคุณแม่ที่มีอาการติดเชื้อ
- การได้สัมผัสกับบริเวณแผลที่ติดเชื้อของผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง
อาการของผู้ป่วยที่เป็นเริม
อาการเริ่มต้นของเริม หลังจากที่ติดเชื้อเริมแล้ว ตัวเชื้อไวรัส เฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ จะเข้ามาฝังตัวอยู่ในปมประสาทบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับเชื้อ และจะยังไม่แสดงอาการออกมาจนกว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง หรือมีปัจจัยอื่นๆที่สามารถกระตุ้นเชื้อไวรัสให้เติบโตและขยายตัวไปยังปลายเส้นประสาทบริเวณผิวหนังได้
โดยบริเวณที่พบบ่อยมากของโรคนี้คือ โรคเริมที่ริมฝีปาก โรคเริมที่แขน โรคเริมที่ขา และ โรคเริมที่อวัยวะเพศ คนที่สงสัยว่า โรคเริมเป็นกี่วันหาย ผู้ที่ติดเชื้อและเป็นเริม จะมีอาการในระยะต่างๆไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ เริมก็จะหายไปเอง
วิธีรักษาและดูแลอาการของผู้ที่ติดเชื้อเริม
การรักษาอาการเริม ผู้ติดเชื้อสามารถรักษาเริมด้วยตนเอง โดยเฉพาะการพักผ่อน ควรจะพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการปกติของร่างกาย ควรดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ และพยายามหลีกเลี่ยงภาวะความเครียดแทรกซ้อนให้มากที่สุดเท่าที่จำทำได้
เริม เป็นโรคที่มักจะมีอาการไม่รุนแรงมาก สามารถหายเองได้ และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การดูแลรักษาของโรคนี้ ขึ้นอยู่กับบริเวณและอาการที่เป็น ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นตุ่มแผลบริเวณผิวหนังภายนอกร่างกาย ควรอาบน้ำและฟอกสบู่บริเวณตุ่มแผลให้สะอาด อยู่เสมอ
แต่หากเป็นที่บริเวณลำคอ ให้อมน้ำเกลือกลั้วคออย่างน้อยวันละ 1 ครั้งอย่างสม่ำเสมอ ส่วนผู้ติดเชื้อบางรายที่มีอาการรุนแรงจนมีอาการไข้แทรกซ้อน แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัส มารับประทานพร้อมกับยาลดไข้ทันที
ภาวะแทรกซ้อนของเริม
โดยทั่วไปแล้ว เริมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เว้นบางกรณีที่ เริมเกิดขึ้นบริเวณที่สำคัญของร่างกาย เช่น บริเวณดวงตา ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก แต่หากผู้ป่วยเป็นเริมบริเวณนี้ และดูแลแผลไม่ดี จนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรง ก็อาจมีโอกาสที่จะทำให้ตาบอดได้เลยด้วย
สรุป
สาเหตุหลักของ โรคเริม เกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันร่างกายของเราอ่อนแอ และการได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยวิธีการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น หากเราดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกันกับผู้อื่น ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงเลยทีเดียว
สำหรับคนที่เริมมีอาการคันยุบยิบ และมีอาการเกิดตุ่มน้ำใสสงสัยว่าจะเป็น โรคเริมที่ปาก โรคเริมที่แขน โรคเริมที่ขา โรคเริมที่อวัยวะเพศ หรือที่บริเวณดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ขอแนะนำให้ท่านรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาในทันทีเลยจะดีที่สุด
รับคำปรึกษาเบื้องต้น กับ “หมอเบียร์” ฟรี
สอบถามข้อมูลการรักษาและบริการเพิ่มเติม นัดหมายล่วงหน้า การเดินทางมาคลินิก
LINE:@eternitydrug
Facebook:@Eternityclinicthai
นพ.สืบพงษ์ เอ่งฉ้วน “หมอเบียร์”
ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์เพศชาย (Urologist)
ศัลยกรรมทั่วไป (General surgeon)
โรคเริม สาเหตุเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร รักษาได้หรือไม่ ?
โรคเริม คืออะไรกันแน่ ? สังเหตุอาการเพื่อป้องกันและรักษ
อัณฑะไม่เท่ากัน มีอาการปวด เกิดจากอะไรได้บ้าง รักษาอย่างไร ?
อัณฑะไม่เท่ากัน เกิดจากอะไร ผิดปกติหรือไม่ อัณฑะไม่เท่า
อารมณ์ทางเพศ สิ่งที่กระตุ้นและวิธีลดความต้องการลง มีวิธีใดบ้าง
อารมณ์ทางเพศ วิธีลดความต้องการลงและการรับมือเมื่อเกิดขึ